mylocalsydney.com
Home รู้วิธีรับมือ!
5 อยู่ในเกณฑ์ผอม ควรเพิ่มน้ำหนัก 13–18 กิโลกรัม ค่า BMI ระหว่าง 18. 5-24. 9 อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรเพิ่มน้ำหนัก 11–16 กิโลกรัม ค่า BMI ระหว่าง 25-29. 9 อยู่ในเกณฑ์อ้วน ควรเพิ่มน้ำหนัก 7–11 กิโลกรัม ค่า BMI สูงกว่า 30 อยู่ในเกณฑ์อ้วนมาก ควรเพิ่มน้ำหนัก 5–9 กิโลกรัม ตัวอย่างง่าย ๆ ในการเพิ่มน้ำหนักตอนท้อง เช่น น้ำหนักตัว 55 กิโลกรัม ความสูง 160 เซนติเมตร เมื่อคำนวณค่า BMI จะออกมาเป็นตามสูตร 55/(1. 60)*2 = 21. 5 ซึ่งค่าที่ได้จัดอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักปกติหรือสมส่วนก่อนการตั้งท้อง น้ำหนักที่เพิ่มในช่วงตั้งท้องควรจะอยู่ประมาณ 11–16 กิโลกรัม นอกจากนี้ คุณแม่อาจใช้เครื่องมือคำนวณสำเร็จรูปตามเว็บไซต์หรือแอพลิเคชันเพื่อหาค่า BMI และนำมาเทียบน้ำหนักที่ควรเพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เกณฑ์นี้เป็นเพียงการประเมินน้ำหนักที่ควรเพิ่มในเบื้องต้นเท่านั้น แพทย์อาจแนะนำให้คุณแม่เพิ่มน้ำหนักมากหรือน้อยไปจากนี้ได้ตามปัจจัยที่แตกต่างกันในแต่ละคน และหากคุณแม่ตั้งท้องลูกแฝดน้ำหนักอาจเพิ่มมากกว่านี้ได้ คนท้องควรเพิ่มน้ำหนักตัวเท่าไรดี? น้ำหนักของคุณแม่เมื่อตั้งท้องจะเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ เพราะร่างกายคุณแม่ต้องการพลังงานและสารอาหารเพิ่มขึ้นจากเดิมเพื่อให้คุณแม่มีแรงในการอุ้มท้องและเสริมสร้าง พัฒนาการของทารก ให้เป็นไปตามปกติ บทความนี้มีตัวอย่างของน้ำหนักตัวที่ควรเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน รวมถึงปริมาณพลังงานที่คุณแม่ควรได้รับเพิ่มขึ้นต่อวันเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้ตรงตามเกณฑ์มาให้ได้ดูกัน ไตรมาสแรก (สัปดาห์ที่ 1–13) น้ำหนักควรเพิ่ม 0–0.
บทความแนะนำเพิ่มเติม 1. ลูกติดจุก ติดขวด แก้อย่างไรให้สำเร็จ 2. จุกหลอกดีจริงหรือ? เช็คข้อดี VS ข้อเสียของจุกนมหลอกได้ที่นี่ 3. เทคนิคเลิกขวดนมแบบหักดิบ และเลิกแบบค่อยเป็นค่อยไป เลิกแบบไหนแม่เลือกได้ เรียบเรียงโดย: Mamaexpert Editorial Team
7 กิโลกรัมต่อเดือน และควรได้รับพลังงานเพิ่มราว 150–200 กิโลแคลอรีต่อวัน ไตรมาสที่สอง (สัปดาห์ที่ 14–28) น้ำหนักควรเพิ่ม 1. 8 กิโลกรัมต่อเดือน และควรได้รับพลังงานเพิ่มราว 300 กิโลแคลอรีต่อวัน ไตรมาสที่สาม (สัปดาห์ที่ 29–40) น้ำหนักควรเพิ่ม 1. 4–1.
7 สัญญาณ... แม่ท้องต้องระวัง (modernmom) โดย: ฟอง ระหว่างตั้งครรภ์นั้นคุณแม่อาจมีอาการเจ็บโน่น ปวดนี่บ่อยครั้ง จนทำให้ลังเลว่าควรจะไปหาหมอดีหรือไม่ แล้วอาการแบบไหนถึงเรียกว่าอันตราย ลองเช็กดูได้จากสัญญาณอันตราย 7 อย่างในระหว่างตั้งครรภ์ที่เรารวบรวมมาให้ เพราะเป็นสัญญาณความไม่ปกติที่คุณแม่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนค่ะ 1.
วิธีการเลือกจุกนมหลอก สำหรับคุณพ่อคุณแม่แน่นอนว่าความปลอดภัยของลูกน้อยต้องมาเป็นอันดับแรก เช่นเดียวกับการเลือก จุกนมหลอก คุณแม่ควรพิจารณาเลือกอย่างพิถีพิถันเพื่อความปลอดภัยของลูก โดยวิธีการเลือก จุกนมหลอก ที่ดีก็มีดังนี้. 1. เลือกให้เหมาะกับวัยของลูก คุณแม่ควรเลือก จุกหลอก ให้เหมาะกับวัยและขนาดปากของลูกมาเป็นอันดับแรก เพราะขนาดที่เหมาะสมจะปลอดภัยกับลูกมากที่สุด หากเลือกเล็กหรือใหญ่จนเกินไปอาจเสี่ยงที่จะทำให้ลูกสำลักนมขณะที่ดื่มได้. 2. มีรูระบายอากาศได้ดี อีกหนึ่งจุดสำคัญในการเลือกซื้อ จุกนมหลอก สำหรับลูกน้อยให้ปลอดภัยนั่นก็คือ รูระบายอากาศ เพราะรูระบายอากาศจะช่วยให้อากาศถ่ายเทมากขึ้นระหว่างที่ลูกใช้ดูด ทำให้ลมไม่เข้าไปอยู่ในท้องจนเป็นสาเหตุอาการท้องอืดในเด็กนั่นเอง. 3. เลือกตามวัสดุที่เหมาะสม เนื่องจากว่า จุกนมหลอก นั้นผลิตจากวัสดุหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น ซิลิโคน ยางพารา และพลาสติก ซึ่งวัสดุแต่ละชนิดนั้นจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน คุณแม่ควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งานของลูก เพราะหากลูกมีอาการแพ้ยางก็ควรเลือกแบบซิลิโคน หรือ พลาสติกแทน. 4. ปลอดสาร ( BPA) เพราะสารบีพีเอนั้นถือเป็นสารเคมีที่อันตรายต่อเด็กมาก เป็นสารที่นำมาใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นจำพวกพลาสติก คุณแม่ควรเลือก จุกนมหลอก ที่ปราศจากสาร บีพีเอ จะช่วยให้ลูกน้อยปลอดภัยมากขึ้น.
เจ็บท้อง น้อย ตั้ง ครรภ์
Home รู้วิธีรับมือ!
ใช่สัญญาณเตือนรึป่าว ตอนนี้ท้องได้ 34w3d มีอาการปวดท้องน้อย
5 อยู่ในเกณฑ์ผอม ควรเพิ่มน้ำหนัก 13–18 กิโลกรัม ค่า BMI ระหว่าง 18. 5-24. 9 อยู่ในเกณฑ์ปกติ ควรเพิ่มน้ำหนัก 11–16 กิโลกรัม ค่า BMI ระหว่าง 25-29. 9 อยู่ในเกณฑ์อ้วน ควรเพิ่มน้ำหนัก 7–11 กิโลกรัม ค่า BMI สูงกว่า 30 อยู่ในเกณฑ์อ้วนมาก ควรเพิ่มน้ำหนัก 5–9 กิโลกรัม ตัวอย่างง่าย ๆ ในการเพิ่มน้ำหนักตอนท้อง เช่น น้ำหนักตัว 55 กิโลกรัม ความสูง 160 เซนติเมตร เมื่อคำนวณค่า BMI จะออกมาเป็นตามสูตร 55/(1. 60)*2 = 21. 5 ซึ่งค่าที่ได้จัดอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักปกติหรือสมส่วนก่อนการตั้งท้อง น้ำหนักที่เพิ่มในช่วงตั้งท้องควรจะอยู่ประมาณ 11–16 กิโลกรัม นอกจากนี้ คุณแม่อาจใช้เครื่องมือคำนวณสำเร็จรูปตามเว็บไซต์หรือแอพลิเคชันเพื่อหาค่า BMI และนำมาเทียบน้ำหนักที่ควรเพิ่มขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม เกณฑ์นี้เป็นเพียงการประเมินน้ำหนักที่ควรเพิ่มในเบื้องต้นเท่านั้น แพทย์อาจแนะนำให้คุณแม่เพิ่มน้ำหนักมากหรือน้อยไปจากนี้ได้ตามปัจจัยที่แตกต่างกันในแต่ละคน และหากคุณแม่ตั้งท้องลูกแฝดน้ำหนักอาจเพิ่มมากกว่านี้ได้ คนท้องควรเพิ่มน้ำหนักตัวเท่าไรดี? น้ำหนักของคุณแม่เมื่อตั้งท้องจะเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ เพราะร่างกายคุณแม่ต้องการพลังงานและสารอาหารเพิ่มขึ้นจากเดิมเพื่อให้คุณแม่มีแรงในการอุ้มท้องและเสริมสร้าง พัฒนาการของทารก ให้เป็นไปตามปกติ บทความนี้มีตัวอย่างของน้ำหนักตัวที่ควรเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน รวมถึงปริมาณพลังงานที่คุณแม่ควรได้รับเพิ่มขึ้นต่อวันเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้ตรงตามเกณฑ์มาให้ได้ดูกัน ไตรมาสแรก (สัปดาห์ที่ 1–13) น้ำหนักควรเพิ่ม 0–0.
บทความแนะนำเพิ่มเติม 1. ลูกติดจุก ติดขวด แก้อย่างไรให้สำเร็จ 2. จุกหลอกดีจริงหรือ? เช็คข้อดี VS ข้อเสียของจุกนมหลอกได้ที่นี่ 3. เทคนิคเลิกขวดนมแบบหักดิบ และเลิกแบบค่อยเป็นค่อยไป เลิกแบบไหนแม่เลือกได้ เรียบเรียงโดย: Mamaexpert Editorial Team
เพิ่มน้ำหนักตอนท้อง เพิ่มเท่าไหร่ถึงจะดี| บทความ บล็อก | Thaihealth.or.th | สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
7 กิโลกรัมต่อเดือน และควรได้รับพลังงานเพิ่มราว 150–200 กิโลแคลอรีต่อวัน ไตรมาสที่สอง (สัปดาห์ที่ 14–28) น้ำหนักควรเพิ่ม 1. 8 กิโลกรัมต่อเดือน และควรได้รับพลังงานเพิ่มราว 300 กิโลแคลอรีต่อวัน ไตรมาสที่สาม (สัปดาห์ที่ 29–40) น้ำหนักควรเพิ่ม 1. 4–1.
7 สัญญาณ... แม่ท้องต้องระวัง (modernmom) โดย: ฟอง ระหว่างตั้งครรภ์นั้นคุณแม่อาจมีอาการเจ็บโน่น ปวดนี่บ่อยครั้ง จนทำให้ลังเลว่าควรจะไปหาหมอดีหรือไม่ แล้วอาการแบบไหนถึงเรียกว่าอันตราย ลองเช็กดูได้จากสัญญาณอันตราย 7 อย่างในระหว่างตั้งครรภ์ที่เรารวบรวมมาให้ เพราะเป็นสัญญาณความไม่ปกติที่คุณแม่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนค่ะ 1.
วิธีการเลือกจุกนมหลอก สำหรับคุณพ่อคุณแม่แน่นอนว่าความปลอดภัยของลูกน้อยต้องมาเป็นอันดับแรก เช่นเดียวกับการเลือก จุกนมหลอก คุณแม่ควรพิจารณาเลือกอย่างพิถีพิถันเพื่อความปลอดภัยของลูก โดยวิธีการเลือก จุกนมหลอก ที่ดีก็มีดังนี้. 1. เลือกให้เหมาะกับวัยของลูก คุณแม่ควรเลือก จุกหลอก ให้เหมาะกับวัยและขนาดปากของลูกมาเป็นอันดับแรก เพราะขนาดที่เหมาะสมจะปลอดภัยกับลูกมากที่สุด หากเลือกเล็กหรือใหญ่จนเกินไปอาจเสี่ยงที่จะทำให้ลูกสำลักนมขณะที่ดื่มได้. 2. มีรูระบายอากาศได้ดี อีกหนึ่งจุดสำคัญในการเลือกซื้อ จุกนมหลอก สำหรับลูกน้อยให้ปลอดภัยนั่นก็คือ รูระบายอากาศ เพราะรูระบายอากาศจะช่วยให้อากาศถ่ายเทมากขึ้นระหว่างที่ลูกใช้ดูด ทำให้ลมไม่เข้าไปอยู่ในท้องจนเป็นสาเหตุอาการท้องอืดในเด็กนั่นเอง. 3. เลือกตามวัสดุที่เหมาะสม เนื่องจากว่า จุกนมหลอก นั้นผลิตจากวัสดุหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น ซิลิโคน ยางพารา และพลาสติก ซึ่งวัสดุแต่ละชนิดนั้นจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน คุณแม่ควรเลือกให้เหมาะกับการใช้งานของลูก เพราะหากลูกมีอาการแพ้ยางก็ควรเลือกแบบซิลิโคน หรือ พลาสติกแทน. 4. ปลอดสาร ( BPA) เพราะสารบีพีเอนั้นถือเป็นสารเคมีที่อันตรายต่อเด็กมาก เป็นสารที่นำมาใช้ในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เป็นจำพวกพลาสติก คุณแม่ควรเลือก จุกนมหลอก ที่ปราศจากสาร บีพีเอ จะช่วยให้ลูกน้อยปลอดภัยมากขึ้น.